อันนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราควรจะทราบไว้บ้าง ก็จะดีนะครับ เกี่ยวกับคำศัพท์ที่นิยมพูดกันในโรงแรม ว่าอะไรเป็นอะไร เวลาอยากจะได้อะไร หรืออะไรเป็นอะไร จะได้เรียกถูก เริ่มกันตั้งแต่ต้นเลยดีกว่า
1. Booking ( บุ๊คกิ้ง ) หรือ Reservation ( เรสเซอร์เวชั่น ) อันนี้จะหมายถึงการจองห้องพัก
2. Voucher ( เว้าเชอร์ ) คือ เอกสารสำหรับใช้แสดงตัวในการเข้าพัก ซึ่งในกรณีทำการจองห้องพักมาก่อน ท่านจะได้เอกสารสำหรับใช้แสดงตัวในการเข้าพัก ซึ่งจะระบุรายละเอียดในการเข้าพักทั้งหมดของท่าน ทั้งชื่อ จำนวนห้องที่จองไว้ จำนวนวันที่เข้าพัก และที่สำคัญ ถ้ามี Voucher หมายถึงคุณได้จ่ายเงินค่าห้องมาแล้ว
3. Check in ( เช็ค อิน ) ไม่ได้หมายถึง " เข้ามาตรวจข้างใน " แต่หมายถึง การเข้าพัก ซึ่งคุณอาจเคยได้ยินเวลาโทรศัพท์ไปจองห้อง " ต้องการ เช็ค อิน วันที่เท่าไรค่ะ " ซึ่งก็หมายถึง คุณต้องการเข้าพักวันไหนนั่นเอง
4. Check out ( เช็ค เอ้าท์ ) อันนี้หมายถึง คืนห้องพัก ตรงข้ามกับ เช็ค อิน ซึ่งเวลาจะคืนห้อง ก่อนออกจากห้องให้โทรศัพท์แจ้งกับทางเจ้าหน้าที่ก่อน ว่าต้องการจะคืนห้อง ไม่ใช่เดินถือกระเป๋าอออกไปเลยนะ ต้องบอกเขาก่อนว่าเราจะกลับกันแล้ว
5. Receptionist หรือนิยมเรียกว่า Reception ( รีเซฟชั่น ) แปลว่าพนักงานต้อนรับส่วนหน้า ซึ่งเวลาไปเข้าพักตามโรงแรม หรือมีอะไรต้องการติดต่อก็ต้องที่นี่เลย ทำได้ทุกอย่าง เดี๋ยวทางเจ้าหน้าที่เขาจะประสานงานกันเองประเภท All in one ทุกอย่าง...เค้ารับได้
6. Buffet ( บุฟเฟต์ ) จะหมายถึงอาหารที่เราต้องบริการตัวเอง อันนี้ก็ไม่ถึงขนาดที่จะต้องเข้าครัวไปทำกินกันเองหรอก แต่หมายถึงต้องลุกเดินไปตักอาหารเอง ทั้งหยิบจาน หยิบช้อน ต้องทำเองนะครับ เพราะทางห้องอาหารจะจัดอาหาร และภาชนะต่างเตรียมไว้ให้เราแล้วอย่างเป็นสัดส่วน ส่วนพนักงานจะคอยทำหน้าที่เก็บจานอย่างเดียว ซึ่งโดยมารยาทเราไม่มีสิทธิ์จะไปสั่งเขานะครับ เพราะมันเป็นธรรมเนียมของการให้บริการอาหารเบบ บุฟเฟต์ มานานแล้ว แล้วก็เวลาตักอาหาร อย่าตักมาทีละเยอะ ๆ ล่ะ เดี๋ยวจะทานกันไม่หมด เพราะบางที่อาจมีการเก็บค่าบริการเพิ่ม ในกรณีตักมาทานแล้วเหลือจนน่าเกลียด อาศัยเดินตักหลาย ๆ รอบดีกว่า
7. Room Service ( รูม เซอร์วิส ) หมายถึง การให้บริการอาหารในห้องพัก หรือสั่งอาหารมากินได้ในห้องของตัวเอง อันนี้จะมีไม่ทุกโรงแรมนะครับ บางโรงแรมจะห้ามทานอาหารในห้องพัก เพราะกลัวมีปัญหาในเรื่องกลิ่นของอาหาร การใช้บริการของ รูม เซอร์วิส อาจมีค่าบริการเพิ่มขึ้นจากราคาค่าอาหารนะครับ
8. Tip ( ทิป ) ถ้าแปลเป็นไทยก็คือ " เงินรางวัลพิเศษ " หลายคนสงสัยว่าควรจะให้มั้ย ควรจะให้ตอนไหน หรือควรจะให้เท่าไรดี อันนี้ไม่ระบุเป็นกฏตายตัวนะครับอาจจะให้ก็ได้หรือจะให้ก็ได้ ขึ้นอยู่กับเราเองพิจารณาเอาเอง ส่วนใหญ่นิยมให้ในกรณีที่เราขอบริการจากพนักงานเป็นพิเศษ ยกตัวอย่างเช่นการยกกระเป๋าเข้าห้องพััก โดยปกติพนักงานยกกระเป๋าก็จะทำหน้าที่นี้อยู่แล้ว แต่หากเรามีของเยอะมากจนไม่สามารถจะยกหรือขนขึ้นห้องให้หมดภายในเที่ยวเดียว อันนี้ก็ควรให้ทิปเขาบ้าง เป็นสินน้ำใจ
แล้วทำไมต้องเรียกเป็นคำภาษาอังกฤษด้วยล่ะ ? อย่างนี้ก็สับสนกันแย่ล่ะสิ ? เปล่าเลยครับ ส่วนใหญ่คำพวกนี้จะเป็นคำทับศัพท์นะครับ เหมือนอีกหลาย ๆ คำที่เรานิยมใช้กันจนติดปาก อย่างเช่น " ลิฟต์ " แปลเป็นไทยว่า " ห้องเลื่อน " หรือ " เซ็นทรัล ล็อค " แปลเป็นไทยว่า " ลั่นดานรวม " คงจะไม่มีใครเรียกอย่างนั้นใช่มั้ย..หรือว่ามี ?
วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552
วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552
จะว่าไป แล้วทำไมต้องจองก่อน..?
หลายท่านอาจจะสงสัยว่าทำไม จึงควรจองห้องพัก หรือที่พักไว้ล่วงหน้าก่อนการเดินทาง ซึ่งส่วนใหญ่จะโดยเเฉพาะเรา ๆ ท่าน ๆ มักจะไม่ค่อยนิยมทำกัน และใช้แผนประเภทที่ว่า บุกไปดูให้รู้ก่อน แล้วจะไปพักที่ไหนโรงแรมอะไรค่อยไปหา หรือที่เรียกว่า ไปตายเอาดาบหน้า แล้วกัน...มันเป็นขนาดนั้นจริง ๆ หรือ ก็จริงน่ะสิ คุณเชื่อหรือไม่ว่า ปัจจุบันคนไทยเราน่ะ นิยมท่องเที่ยวกันอย่างมาก โดยเฉพาะหลาย ๆ ท่านที่อยู่ในกรุงเทพฯ ก็ลองคิดดูสิ.. อึดอัดกันซะขนาดนั้น ไหนจะมลพิษอีก ฉะนั้น วันหยุดน่ะต้้องออกไปฟอกปอดกันซะหน่อย โดยเฉพาะช่วงวันหยุดยาว ๆ คุณเชื่อหรือเปล่า ที่เที่ยวที่ไหน ฮอท ๆ ฮิท ๆ น่ะ อย่างเช่น หัวหิน ชะอำ เกาะเสม็ด เกาะช้าง ฯลฯ เต็มหมดแล้ว ! หลายท่านขับรถ หรือเดินทางมาตั้งไกล หลาย ๆ ชั่วโมง แต่กลับยังหาห้องพักไม่ได้ ต้องขับรถวนหาห้องอยู่อีกหลาย ๆ ชั่งโมง มาถึงขั้นนี้ตัวเลือกของโรงแรม ที่พักก็เหลือไม่มากซะด้วย บ่อยครั้งต้องยอมทำใจเข้าพักในที่ที่ไม่ถูกใจ หรือราคาแพงกว่าปกติ นี่หรือ..คือการพักผ่อน ? เรามาลองรวบรวมข้อดีของการจองห้องพักล่วงหน้ากันหน่อยดีกว่า ให้มันดูเป็นรูปธรรมกันสักหน่อย
1. มีที่พักแน่นอนเมื่อเดินทางไปถึง ไม่ต้องเสียเวลาหาที่พักอีก ประหยัดเวลากับวันพักผ่อน
2. ได้ห้องพักตามแบบที่ถูกใจ ถ้าคุณจองห้องล่วงหน้าก่อนวันเข้าพักจริง ย่อมต้องมีตัวเลือกของโรงแรม ที่หลากหลายแล้วยิ่งเดี๋ยวนี้ การจองห้องพักผ่านทาง อินเตอร์เน็ต หรือทางโทรศัพท์ มันก็เป็นเรื่องง่าย ๆ บางเวปไซต์ มีรายละเอียดให้ดู มีรีวิวจากคนที่เคยเข้าพักมาแล้วให้คุณได้อ่านกันอย่างละเอียด จุใจ
3. ประหยัดค่าใช้จ่าย และได้ห้องพักราคาถูกว่าปกติ โดยเฉพาะจองกับบริษัทตัวแทน หรือที่นิยมเรียกว่า บริษัททัวร์ ( Travel Agency ) ซึ่งพวกนี้จะได้ราคาค่าห้องพักที่ถูกกว่าปกติมาก เพราะบริษัทพวกนี้จะมีสัญญาราคาพิเศษกับโรงแรม เหมือนซื้อของแบบเหมายกโหล ย่อมได้ราคาที่ถูกกว่าซื้อปลีก หรือประเภทไปรับของเขามาขายย่อมได้ราคาที่ต่ำกว่า อันนี้ก็ สบายกระเป๋าเราไปด้วย มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะยังข้องใจว่า แล้วถ้าจองกับโรงแรมโดยตรง มันจะไม่ได้ราคาที่ถูกว่าเหรอ ? จริง ๆ แล้วโรงแรมเขาจะไม่ให้ราคานั้นกับคุณหรอกครับ นอกจากเข้าพักเป็นจำนวนมากจริง ๆ ก็เราเป็นลูกค้าปลีกนะครับ ไม่ได้ซื้อส่งอย่างเขา อย่างกไปหน่อยเลย แค่นี้ก็ถูกกว่าเยอะแล้ว
4. นึกไม่ออกแล้ว เอาเป็นว่าแค่ 3 ข้อบนก็น่าจะพอให้หลายคนคิดวางแผนล่วงหน้าสำหรับการเดินทาง ท่องเที่ยว พักผ่อนในครั้งหน้าได้แล้ว แล้วคุณรู้มั้ยว่านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติน่ะ เขาวางแผนมาเที่ยวบ้านเรากันเป็นปี ๆ ล่วงหน้าแล้ว ยิ่งช่วงคริสมาสต์ หรือช่วงวันหยุดปีใหม่ ห้องพักของหลาย ๆ โรงแรมน่ะ เกือบจะเต็มทั้งหมดแล้ว แล้วคุณล่ะครับ ช่วงวันหยุดยาวคราวหน้า จะไปเที่ยวที่ไหนกัน แล้วที่สำคัญ คุณมีที่พักแล้วหรือยัง ?
1. มีที่พักแน่นอนเมื่อเดินทางไปถึง ไม่ต้องเสียเวลาหาที่พักอีก ประหยัดเวลากับวันพักผ่อน
2. ได้ห้องพักตามแบบที่ถูกใจ ถ้าคุณจองห้องล่วงหน้าก่อนวันเข้าพักจริง ย่อมต้องมีตัวเลือกของโรงแรม ที่หลากหลายแล้วยิ่งเดี๋ยวนี้ การจองห้องพักผ่านทาง อินเตอร์เน็ต หรือทางโทรศัพท์ มันก็เป็นเรื่องง่าย ๆ บางเวปไซต์ มีรายละเอียดให้ดู มีรีวิวจากคนที่เคยเข้าพักมาแล้วให้คุณได้อ่านกันอย่างละเอียด จุใจ
3. ประหยัดค่าใช้จ่าย และได้ห้องพักราคาถูกว่าปกติ โดยเฉพาะจองกับบริษัทตัวแทน หรือที่นิยมเรียกว่า บริษัททัวร์ ( Travel Agency ) ซึ่งพวกนี้จะได้ราคาค่าห้องพักที่ถูกกว่าปกติมาก เพราะบริษัทพวกนี้จะมีสัญญาราคาพิเศษกับโรงแรม เหมือนซื้อของแบบเหมายกโหล ย่อมได้ราคาที่ถูกกว่าซื้อปลีก หรือประเภทไปรับของเขามาขายย่อมได้ราคาที่ต่ำกว่า อันนี้ก็ สบายกระเป๋าเราไปด้วย มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะยังข้องใจว่า แล้วถ้าจองกับโรงแรมโดยตรง มันจะไม่ได้ราคาที่ถูกว่าเหรอ ? จริง ๆ แล้วโรงแรมเขาจะไม่ให้ราคานั้นกับคุณหรอกครับ นอกจากเข้าพักเป็นจำนวนมากจริง ๆ ก็เราเป็นลูกค้าปลีกนะครับ ไม่ได้ซื้อส่งอย่างเขา อย่างกไปหน่อยเลย แค่นี้ก็ถูกกว่าเยอะแล้ว
4. นึกไม่ออกแล้ว เอาเป็นว่าแค่ 3 ข้อบนก็น่าจะพอให้หลายคนคิดวางแผนล่วงหน้าสำหรับการเดินทาง ท่องเที่ยว พักผ่อนในครั้งหน้าได้แล้ว แล้วคุณรู้มั้ยว่านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติน่ะ เขาวางแผนมาเที่ยวบ้านเรากันเป็นปี ๆ ล่วงหน้าแล้ว ยิ่งช่วงคริสมาสต์ หรือช่วงวันหยุดปีใหม่ ห้องพักของหลาย ๆ โรงแรมน่ะ เกือบจะเต็มทั้งหมดแล้ว แล้วคุณล่ะครับ ช่วงวันหยุดยาวคราวหน้า จะไปเที่ยวที่ไหนกัน แล้วที่สำคัญ คุณมีที่พักแล้วหรือยัง ?
ป้ายกำกับ:
โรงแรม
วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2552
เลือกแบบเตียงนอน ให้ถูกใจ
เชื่อว่าหลาย ๆ ท่านจำนวนไม่น้อย ในเวลาจองโรงแรมหรือที่พัก อาจจะยังสับสนในการจองห้องพัก ทั้งประเภทของห้องพักโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเลือกประเภทของเตียงนอนภายในห้องพักที่ทำการจอง ซึ่งเตียง ที่นอน ภายในห้องพักมีชื่อเรียกและลักษณะแตกต่างกันไปคือ
1. เตียงใหญ่ ดับเบิ้ลเบด ( Double Bed )
จะเป็นเตียงสำหรับนอนได้ 2 ท่านเหมาะสำหรับการพักผ่อนกับคนรักประเภทไปเป็นคู่ ซึ่งโรงแรม รีสอร์ทหรือที่พักส่วนใหญ่จะมีเตียงให้บริการในแบบเตียงควีนไซต์ ( Queen Size ) ขนาด 5 ฟุตครึ่ง และเตียงแบบคิงไซต์ ( King Size ) ขนาด 6 ฟุต
2. เตียงคู่ ทวินเบด ( Twin Bed )
จะเป็นเตียงเดี่ยวขนาด 3 ฟุตครึ่งจำนวน 2 เตียง สำหรับสองท่านประมาณว่าเพื่อนกัน ไปเที่ยวด้วยกันและก็ไม่อยากนอนกอดกัน
3. เตียงทริปเปิ้ลเบด ( Tripple Bed )
จะเป็นเตียงเดี่ยวขนาด 3 ฟุตครึ่งจำนวน 3 เตียง ซึ่งจัดสำหรับการเข้าพักสามท่านโดยเฉพาะ กรณีประหยัดค่าใช้จ่ายห้องพัก ถ้าอยากจะนอนรวมแบบนี้ก็สะดวกดี

4. เตียงเสริม เอ็กซ์ตร้าเบด ( Extra Bed )
ในกรณีที่ห้องพักปกติ จัดสำหรับการเข้าพักเพียง 2 ท่าน หากท่านมีคนมาพักเพิ่มอีก และต้องการเสริมเตียงก็จะเรียกเตียงชนิดนี้ว่า เอ็กซ์ตร้าเบด ซึ่งอาจเป็นเตียงพับ แบบล้อเลื่อน หรือในบางโรงแรมอาจจะเป็นเพียงที่นอนเสริมเท่านั้น คุณภาพของเตียงเสริมจะไม่เท่ากับเตียงหลัก ซึ่งจะแตกต่างกับเตียงในห้องพักแบบ เตียงทริปเปิ้ลเบด ( Tripple Bed ) ด้วย
ในการจองจองที่พัก หรือโรงแรมที่ท่านต้องการเข้าพัก ท่านสามารถเลือกแบบของเตียงได้อยู่แล้ว หากท่านให้ข้อมูลในการจองอย่างถูกต้อง โปรดอย่าลักไก่นะครับ บางครั้งตอนจองบอกจำนวนคนไว้แค่ 2 คนแต่เวลาไปจริง ๆ ไปกัน 3 คนแล้วไปพักรวมกันซึ่งบางทีท่านอาจรู้สึกอึดอัดในการเข้าพักได้ หากท่านแจ้งข้อมูลไปเลยว่าจะมาเข้าพัก 3 ท่านในการจอง ซึ่งโดยปกติแล้วทางโรงแรมหรือรีสอร์ทจะจัดห้องที่มี่ขนาด และพื้นที่ใหญ่และกว้างกว่าปกติให้ท่านแม้ว่าจะเป็นประเภทห้องพักแบบเดียวกันก็ตาม หรือบางครั้งหากมีการจำเป็นด้องชำระค่าใช้จ่ายเพิ่มก็ตาม แต่ท่านก็อย่าลืมนะครับว่า ท่านไปพักผ่อนหาความสนุก ไม่ใช่ไปเข้าค่าย
1. เตียงใหญ่ ดับเบิ้ลเบด ( Double Bed ) จะเป็นเตียงสำหรับนอนได้ 2 ท่านเหมาะสำหรับการพักผ่อนกับคนรักประเภทไปเป็นคู่ ซึ่งโรงแรม รีสอร์ทหรือที่พักส่วนใหญ่จะมีเตียงให้บริการในแบบเตียงควีนไซต์ ( Queen Size ) ขนาด 5 ฟุตครึ่ง และเตียงแบบคิงไซต์ ( King Size ) ขนาด 6 ฟุต
2. เตียงคู่ ทวินเบด ( Twin Bed ) จะเป็นเตียงเดี่ยวขนาด 3 ฟุตครึ่งจำนวน 2 เตียง สำหรับสองท่านประมาณว่าเพื่อนกัน ไปเที่ยวด้วยกันและก็ไม่อยากนอนกอดกัน
3. เตียงทริปเปิ้ลเบด ( Tripple Bed )
จะเป็นเตียงเดี่ยวขนาด 3 ฟุตครึ่งจำนวน 3 เตียง ซึ่งจัดสำหรับการเข้าพักสามท่านโดยเฉพาะ กรณีประหยัดค่าใช้จ่ายห้องพัก ถ้าอยากจะนอนรวมแบบนี้ก็สะดวกดี

4. เตียงเสริม เอ็กซ์ตร้าเบด ( Extra Bed )
ในกรณีที่ห้องพักปกติ จัดสำหรับการเข้าพักเพียง 2 ท่าน หากท่านมีคนมาพักเพิ่มอีก และต้องการเสริมเตียงก็จะเรียกเตียงชนิดนี้ว่า เอ็กซ์ตร้าเบด ซึ่งอาจเป็นเตียงพับ แบบล้อเลื่อน หรือในบางโรงแรมอาจจะเป็นเพียงที่นอนเสริมเท่านั้น คุณภาพของเตียงเสริมจะไม่เท่ากับเตียงหลัก ซึ่งจะแตกต่างกับเตียงในห้องพักแบบ เตียงทริปเปิ้ลเบด ( Tripple Bed ) ด้วย
ในการจองจองที่พัก หรือโรงแรมที่ท่านต้องการเข้าพัก ท่านสามารถเลือกแบบของเตียงได้อยู่แล้ว หากท่านให้ข้อมูลในการจองอย่างถูกต้อง โปรดอย่าลักไก่นะครับ บางครั้งตอนจองบอกจำนวนคนไว้แค่ 2 คนแต่เวลาไปจริง ๆ ไปกัน 3 คนแล้วไปพักรวมกันซึ่งบางทีท่านอาจรู้สึกอึดอัดในการเข้าพักได้ หากท่านแจ้งข้อมูลไปเลยว่าจะมาเข้าพัก 3 ท่านในการจอง ซึ่งโดยปกติแล้วทางโรงแรมหรือรีสอร์ทจะจัดห้องที่มี่ขนาด และพื้นที่ใหญ่และกว้างกว่าปกติให้ท่านแม้ว่าจะเป็นประเภทห้องพักแบบเดียวกันก็ตาม หรือบางครั้งหากมีการจำเป็นด้องชำระค่าใช้จ่ายเพิ่มก็ตาม แต่ท่านก็อย่าลืมนะครับว่า ท่านไปพักผ่อนหาความสนุก ไม่ใช่ไปเข้าค่าย
ป้ายกำกับ:
การเลือกตียง,
โรงแรม
วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2552
โรงแรม มีกี่แบบ..?
ประเภทของ โรงแรม
หลายครั้งหลายหนที่หลาย ๆ ท่านจองโรงแรม หรือห้องพัก โดยไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าที่พักที่เราจองไปนั้นจัดเป็นโรงแรมหรือที่พักแบบไหน ? เคยสงสัยมั้ยว่าทำไมบางที่ใช้ชื่อเรียกตัวเองว่า รีสอร์ท บางที่ก็ใช้เรียกตัวเองว่าเป็น โรงแรม ? แล้วมันแตกต่างกันอย่างไร ? จริงแล้วเขามีรูปแบบการแบ่งประเภทของโรงแรม โดยสามารถแบ่งได้หลากหลายรูปแบบ แต่ต่อไปนี้จะแบ่งตามจุดประสงค์ของโรงแรมให้ก่อน
โรงแรมธุรกิจ
โรงแรมประเภทนี้มักจะตั้งอยู่ในตัวเมือง หรืออยู่ภายในเขตธุรกิจ มีจุดประสงค์ให้บริการนักธุรกิจเป็นหลัก และนอกจากนั้นมักจะนิยมใช้เป็นที่จัดงานประชุม หรือ งานเลี้ยงสังสรรค์ หรือที่หลายท่านนิยมไปจัดงานแต่งงานกัน ภายในโรงแรมก็จะมีการบริการที่หรูหรา ทั้งที่พัก อาหาร และเครื่องดื่ม แต่ช่วงเวลาที่แขกจะเข้าพักมักจะเป็นช่วงการเข้าพักสั้น ๆ
โรงแรมสนามบิน หรือ โรงแรมท่าอากาศยาน
ตามชื่อเลยว่าป็นโรงแรมประเภทที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับสนามบิน แขกที่เข้าพักจะเป็นพวกนักทัศนาจรที่มารอต่อเครื่องบิน ซึ่งบางทีต้องรอนานเป็น 10 ชั่วโมง การเข้าพักมักจะเป็นช่วงสั้น ๆ เช่นเดียวกัน ไม่ค้างคืนเกิน 1 วัน หรือในบางกรณีก็จะเป็นนักธุรกิจที่มาเข้าพักแบบโรงแรมธุรกิจก็เป็นได้
โรงแรมพักอาศัย
โรงแรมประเภทนี้ มักจะเป็นโรงแรมที่เปิดให้เข้าพักเป็นระยะเวลานาน ๆ 1 เดือนขึ้นไปหรือที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเรียกการเข้าพักแบบนี้ว่าแบบ Long Stay มีลักษณะคล้ายคอนโดมิเนียม หรือเซอร์วิส อพาทเม้นท์ ที่มีบริการแบบโรงแรม เพียงแต่ความหรูหราอาจไม่เทียบเท่า โรงแรมแบบนี้ แถว ๆ พัทยาจะมีเยอะมากโดยเฉพาะหาดจอมเทียน บางทีอยู่กันเป็นปี ๆ ก็มีที่สำคัญคือ ถูก !
โรงแรมเพื่อการพักผ่อน ( รีสอร์ท )
อันนี้เป็นแบบที่เราคุ้นเคย เวลาเดินทางไปท่องเที่ยวพักผ่อนตามต่างจังหวัด โรงแรมประเภทนี้ในภูมิประเทศที่ดี ห้องพักมักจะแยกเป็นส่วน ๆ เป็นบ้านหรือหลังคาเรือนแยกต่างหากหรือในลักษณะที่เรานิยมเรียกกันว่า รีสอร์ท จะมีจุดขายคือเน้นความสวยงามของธรรมชาติเห็นหลัก ในโรงแรม หรือ รีสอร์ท จะมีกิจกรรมต่างๆมากมาย เช่น การปั่นจักรยาน เล่นกอล์ฟ ขี่ม้า เดินป่า สปา เพราะจุดประสงค์ของแขกที่เข้าพักโรงแรมประเภทนี้คือการพักผ่อน ระยะเวลาเข้าพักจึงมีระยะเวลาในช่วง 5-7 วัน การบริการจะเป็นแบบสบาย ๆ เป็นกันเอง
โรงแรมคาสิโน
อย่างเช่น โรงแรม เอ็มจีเอ็ม แกรนด์ ในลาส เวกัส โรงแรมประเภทนี้ ( อันนี้บ้านเรายังไม่มี ) จะมีบริการที่หรูหรามาก ห้องพักสวยงาม มีราคาแพง แขกที่เข้าพักจะเข้ามาเล่นการพนันเป็นส่วนใหญ่ โรงแรมประเภทนี้จะดึงดูดลูกค้าด้วยการพนัน ความบันเทิง แต่แม่แบบที่ชัดเจนคือลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา แล้วทำไมที่นั่นถึงได้ดังล่ะ ? เข้าใจหน่อยนะครับว่าที่ลาสเวกัสน่ะมันเป็นทะเลทรายล้วน ๆ ถ้าใครเคยดูหนังเรื่อง ผีชีวะ ภาคสาม คงพอจะนึกภาพออก รัฐบาลอเมริกาเขาฉลาดมาก ในเมื่อไม่ทรัพยากรอะไรเลยแล้วจะทำยังไงให้คนเข้าไปอยู่ ก็เลยเกิดไอเดียเรื่องการพนันเลยอนุญาตให้เปิดบ่อนเสรีได้ในรัฐนี้ คนก็เลยแห่กันเข้าไปอยู่ พัตนากันไปจนดังไปทั่วโลกอย่างที่เรารู้จักนั่นล่ะ
โรงแรมประเภทที่พักและอาหาร ( เกสต์เฮาส์ )
โรงแรมชนิดนี้จะเป็นโรงแรมที่มีเพียงห้องพักและอาหารเช้าเท่านั้น จำนวนห้องพักมีไม่มากและมักเป็นธุรกิจประเภทครอบครัว ประเภทลูกสาวเป็นพนักงานตอนรับ แม่เป็นคนทำอาหาร อะไรประมาณนั้น และไม่มีการบริการอะไรมากนัก ขอเพียงแค่มีที่นอนกับที่กินเป็นพอ ซึ่งเหมาะกับนักเดินทางที่มีงบที่จำกัด ราคาห้องพักย่อมเยา แขกส่วนหนึ่งก็ชอบเพราะมีความเป็นกันเองดี
โรงแรมบังกะโล
บังกะโล ที่เราคุ้นหู แต่สมัยนี้ค่อนข้างจะหายากหน่อย ยิ่งในแหล่งท่องเที่ยวดัง ๆ แล้วล่ะก็ เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีอยู่เลย เพราะเกือบทั้งหมดจะถูกดัดแปลงเป็นโรงแรมในแบบหรูหราเสียทั้งหมด โรงแรมบังกะดลชนิดนี้จะมีเพียงที่พักให้เช่าในราคาประหยัดมาก แต่จะไม่มีอาหารบริการให้บริการ นักท่องเที่ยวต้องเตรียมมาเอง ซึ่งภายในบังกะโลจะมีพื้นที่สำหรับการทำอาหารจัดไว้ให้
โมเทล
เกิดขึ้นในประเทศอเมริกา ซึ่งนักเดินทางที่ต้องขับรถระยะไกล ๆ อย่างในหนังที่เราดู ขับรถข้ามรัฐกันข้ามวัน ข้ามคืน แล้วต้องการที่พักที่สามารถเอารถไปจอดได้ที่ห้องพักของตน แขกที่เข้าพักจะพักระยะเวลาสั้น ๆ เพียงข้ามคืน ส่วนใหญ่มักอยู่ริมทางหลวง แต่ในบ้านเรากลับพัฒนากลายมาเป็นโรงแรมม่านรูดในปัจจุบัน จริง ๆ อยากเขียนอธิบายต่อถึงคำนี้นะ แต่กลัวจะได้อารมณ์เกินไป เอาเป็นว่าเราเข้าใจคำว่าโมเทลกันแล้ว
หลายครั้งหลายหนที่หลาย ๆ ท่านจองโรงแรม หรือห้องพัก โดยไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าที่พักที่เราจองไปนั้นจัดเป็นโรงแรมหรือที่พักแบบไหน ? เคยสงสัยมั้ยว่าทำไมบางที่ใช้ชื่อเรียกตัวเองว่า รีสอร์ท บางที่ก็ใช้เรียกตัวเองว่าเป็น โรงแรม ? แล้วมันแตกต่างกันอย่างไร ? จริงแล้วเขามีรูปแบบการแบ่งประเภทของโรงแรม โดยสามารถแบ่งได้หลากหลายรูปแบบ แต่ต่อไปนี้จะแบ่งตามจุดประสงค์ของโรงแรมให้ก่อน
โรงแรมธุรกิจ
โรงแรมประเภทนี้มักจะตั้งอยู่ในตัวเมือง หรืออยู่ภายในเขตธุรกิจ มีจุดประสงค์ให้บริการนักธุรกิจเป็นหลัก และนอกจากนั้นมักจะนิยมใช้เป็นที่จัดงานประชุม หรือ งานเลี้ยงสังสรรค์ หรือที่หลายท่านนิยมไปจัดงานแต่งงานกัน ภายในโรงแรมก็จะมีการบริการที่หรูหรา ทั้งที่พัก อาหาร และเครื่องดื่ม แต่ช่วงเวลาที่แขกจะเข้าพักมักจะเป็นช่วงการเข้าพักสั้น ๆโรงแรมสนามบิน หรือ โรงแรมท่าอากาศยาน
ตามชื่อเลยว่าป็นโรงแรมประเภทที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับสนามบิน แขกที่เข้าพักจะเป็นพวกนักทัศนาจรที่มารอต่อเครื่องบิน ซึ่งบางทีต้องรอนานเป็น 10 ชั่วโมง การเข้าพักมักจะเป็นช่วงสั้น ๆ เช่นเดียวกัน ไม่ค้างคืนเกิน 1 วัน หรือในบางกรณีก็จะเป็นนักธุรกิจที่มาเข้าพักแบบโรงแรมธุรกิจก็เป็นได้
โรงแรมพักอาศัย
โรงแรมประเภทนี้ มักจะเป็นโรงแรมที่เปิดให้เข้าพักเป็นระยะเวลานาน ๆ 1 เดือนขึ้นไปหรือที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเรียกการเข้าพักแบบนี้ว่าแบบ Long Stay มีลักษณะคล้ายคอนโดมิเนียม หรือเซอร์วิส อพาทเม้นท์ ที่มีบริการแบบโรงแรม เพียงแต่ความหรูหราอาจไม่เทียบเท่า โรงแรมแบบนี้ แถว ๆ พัทยาจะมีเยอะมากโดยเฉพาะหาดจอมเทียน บางทีอยู่กันเป็นปี ๆ ก็มีที่สำคัญคือ ถูก !
โรงแรมเพื่อการพักผ่อน ( รีสอร์ท )
อันนี้เป็นแบบที่เราคุ้นเคย เวลาเดินทางไปท่องเที่ยวพักผ่อนตามต่างจังหวัด โรงแรมประเภทนี้ในภูมิประเทศที่ดี ห้องพักมักจะแยกเป็นส่วน ๆ เป็นบ้านหรือหลังคาเรือนแยกต่างหากหรือในลักษณะที่เรานิยมเรียกกันว่า รีสอร์ท จะมีจุดขายคือเน้นความสวยงามของธรรมชาติเห็นหลัก ในโรงแรม หรือ รีสอร์ท จะมีกิจกรรมต่างๆมากมาย เช่น การปั่นจักรยาน เล่นกอล์ฟ ขี่ม้า เดินป่า สปา เพราะจุดประสงค์ของแขกที่เข้าพักโรงแรมประเภทนี้คือการพักผ่อน ระยะเวลาเข้าพักจึงมีระยะเวลาในช่วง 5-7 วัน การบริการจะเป็นแบบสบาย ๆ เป็นกันเองโรงแรมคาสิโน
อย่างเช่น โรงแรม เอ็มจีเอ็ม แกรนด์ ในลาส เวกัส โรงแรมประเภทนี้ ( อันนี้บ้านเรายังไม่มี ) จะมีบริการที่หรูหรามาก ห้องพักสวยงาม มีราคาแพง แขกที่เข้าพักจะเข้ามาเล่นการพนันเป็นส่วนใหญ่ โรงแรมประเภทนี้จะดึงดูดลูกค้าด้วยการพนัน ความบันเทิง แต่แม่แบบที่ชัดเจนคือลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา แล้วทำไมที่นั่นถึงได้ดังล่ะ ? เข้าใจหน่อยนะครับว่าที่ลาสเวกัสน่ะมันเป็นทะเลทรายล้วน ๆ ถ้าใครเคยดูหนังเรื่อง ผีชีวะ ภาคสาม คงพอจะนึกภาพออก รัฐบาลอเมริกาเขาฉลาดมาก ในเมื่อไม่ทรัพยากรอะไรเลยแล้วจะทำยังไงให้คนเข้าไปอยู่ ก็เลยเกิดไอเดียเรื่องการพนันเลยอนุญาตให้เปิดบ่อนเสรีได้ในรัฐนี้ คนก็เลยแห่กันเข้าไปอยู่ พัตนากันไปจนดังไปทั่วโลกอย่างที่เรารู้จักนั่นล่ะโรงแรมประเภทที่พักและอาหาร ( เกสต์เฮาส์ )
โรงแรมชนิดนี้จะเป็นโรงแรมที่มีเพียงห้องพักและอาหารเช้าเท่านั้น จำนวนห้องพักมีไม่มากและมักเป็นธุรกิจประเภทครอบครัว ประเภทลูกสาวเป็นพนักงานตอนรับ แม่เป็นคนทำอาหาร อะไรประมาณนั้น และไม่มีการบริการอะไรมากนัก ขอเพียงแค่มีที่นอนกับที่กินเป็นพอ ซึ่งเหมาะกับนักเดินทางที่มีงบที่จำกัด ราคาห้องพักย่อมเยา แขกส่วนหนึ่งก็ชอบเพราะมีความเป็นกันเองดี
โรงแรมบังกะโล
บังกะโล ที่เราคุ้นหู แต่สมัยนี้ค่อนข้างจะหายากหน่อย ยิ่งในแหล่งท่องเที่ยวดัง ๆ แล้วล่ะก็ เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีอยู่เลย เพราะเกือบทั้งหมดจะถูกดัดแปลงเป็นโรงแรมในแบบหรูหราเสียทั้งหมด โรงแรมบังกะดลชนิดนี้จะมีเพียงที่พักให้เช่าในราคาประหยัดมาก แต่จะไม่มีอาหารบริการให้บริการ นักท่องเที่ยวต้องเตรียมมาเอง ซึ่งภายในบังกะโลจะมีพื้นที่สำหรับการทำอาหารจัดไว้ให้
โมเทล
เกิดขึ้นในประเทศอเมริกา ซึ่งนักเดินทางที่ต้องขับรถระยะไกล ๆ อย่างในหนังที่เราดู ขับรถข้ามรัฐกันข้ามวัน ข้ามคืน แล้วต้องการที่พักที่สามารถเอารถไปจอดได้ที่ห้องพักของตน แขกที่เข้าพักจะพักระยะเวลาสั้น ๆ เพียงข้ามคืน ส่วนใหญ่มักอยู่ริมทางหลวง แต่ในบ้านเรากลับพัฒนากลายมาเป็นโรงแรมม่านรูดในปัจจุบัน จริง ๆ อยากเขียนอธิบายต่อถึงคำนี้นะ แต่กลัวจะได้อารมณ์เกินไป เอาเป็นว่าเราเข้าใจคำว่าโมเทลกันแล้ว
วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2552
ทำไมต้องมีโรงแรมด้วย..?
หลายท่านยังคงสงสัยอยู่ว่าโรงแรม มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ใครนะเป็นคนคิด ? อยู่ดี ๆ มาเปิดบ้านเปิดห้องให้ใครก็ไม่รู้เข้ามาพักในบ้านเรา ซึ่งจริง ๆ แล้วเรื่องมันก็มีอยู่ว่า ในสมัยโบราณตั้งแต่ยุคกรีกมาแล้ว คนในยุคนั้นเริ่มมีการสัญจรไปมาหาสู่กันระหว่างเมือง แล้วการเดินทางไกล ๆ มันก็คงไปเช้า เย็นกลับไม่ได้แน่ นักเดินทางจำเป็นต้องอาศัยนอนค้างคืนตามท้องถนน หรืออาศัยนอนตามบ้านเพื่อนหรือคนที่รู้จักกันภายในเมืองนั้น ๆ หรือแม้กระทั่งอาศัยนอนในโบสถ์ ซึ่งมันก็ไม่ใช่ที่หรูหราหรือสะดวกสบายเลย ถ้าเป็นบ้านเราก็คงต้องอาศัยวัดนอน จนกระทั่งมีคนหัวใสได้เปลี่ยนแนวคิดเรื่องนี้ ให้กลายเป็นธุรกิจขึ้นมาโดยเริ่มต้นจาก เมืองฟลอเรนซ์ ในประเทศอิตาลี จนกระทั่งปี ค.ศ. 1282 หรือประมาณปี พ.ศ. 1825 เมื่อสมาคมโรงแรมในสมัยนั้นถือกำเนิดขึ้น และได้เปลี่ยนแนวคิดจาก ไมตรีจิต มาเป็น ธุรกิจ และเริ่มมีการขายไวน์ อาหารง่าย ๆ มีการใช้ระบบ ลงทะเบียนผู้เข้าพักขึ้น จนธุรกิจนี้แพร่หลายและทำกำไรอย่างมาก จากนั้นไม่นานธุรกิจโรงแรมนี้จึงถือกำเนิดขึ้นและเริ่มแพร่หลายไปยัง ประเทศเยอรมนี ฝรั่งเศส จนถึง สหราชอาณาจักรโรงแรม มีการพัฒนามาโดยตลอดเวลา จากเมื่อก่อนแต่เดิมที่มีห้องพักเพียงอย่างเดียว ก็ถูกพัฒนา ให้มีความหรูหรา สะดวกสบาย มีการบริการที่ดี โดยเฉพาะในอังกฤษ โรงแรมเป็นที่สำหรับพักของพวกผู้ดี ขุนนาง และนักการเมืองเท่านั้น คนธรรมดานั้นยาก ที่จะได้เข้าพักอย่าลืมนะว่าโรงแรมสมัยก่อนหมายถึง คฤหาสถ์ โดยโรงแรมที่มีชื่อเสียงเรื่องความหรูหรามากของอังกฤษคือ โรงแรมซาวอย ( Savoy Hotel ) ในปี ค.ศ. 1880 หรือประมาณปี พ.ศ.2423 โรงแรมซาวอย เป็นโรงแรมเพียงแห่งเดียวที่มี เครื่องกำเนิดไฟฟ้า โบสถ์ โรงละคร อยู่ในนั้นอย่างครบถ้วน !
โรงแรม
โรงแรม หลาย ๆ ท่านคงจะคุ้นเคยกับคำนี้ดี โดยเเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากท่านเป็นคนที่ต้องเดินทางไปทำธุระไกล ๆ หรือท่านที่ชอบท่องเที่ยวในวันหยุดพักผ่อน คงต้องเคยใช้บริการในการเข้าพักในโรงแรมอยู่บ้างไม่มากก็น้อย หลายครั้งในการเข้าพักในโรงแรม ก็อาจสร้างความประทับใจ หรือได้รับประสบการณ์ที่แปลกใหม่เพิ่มขึ้น โรงแรม ในปัจจุบันไม่ใช่เป็นเพียงแค่สถานที่พักค้างแรมชั่วคราวเท่านั้น บางที่อาจเป็นได้ถึงสถานบันเทิงชั้นนำ ที่พรั่งพร้อมด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกที่หรูหราต่าง ๆ มากมายทั้ง สระว่ายน้ำ อ่างอาบน้ำ ร้านอาหารชั้นยอดราวกับภัตตาคาร พนักงานที่มาคอยบริการให้ความสะดวกกับเราซะยิ่งกว่าคนรับใช้ ซึ่งบ่อยครั้งการเข้าพักในโรงแรมมีความสะดวกสบายยิ่งกว่าที่บ้านเสียอีก แต่คุณเคยทราบหรือไม่ว่าจริง ๆ แล้วโรงแรม มีที่มาอย่างไร ?
ความหมายของ โรงแรม
แต่เดิมคำว่า โรงแรม hotel หรือในภาษาอังกฤษ มีที่มาจากภาษาฝรั่งเศสซึ่งแปลว่า คฤหาสน์ โรงแรม ที่เปิดให้บริการเป็นแห่งแรกในยุโรปคือ Hotel de Hanri IV ( โฮเทล เดอ อองรี กัต ) ในปี ค.ศ. 1788 โดยในสมัยก่อนคำว่าโรงแรม หรือ Hotel จะใช้คำว่า hôtel และภายหลังได้เปลี่ยนตัวโอมาเป็นโอปกติในภาษาอังกฤษเป็น hotel เหมือนปัจจุบัน
โรงแรม หมายถึง สถานที่ประกอบการเชิงธุรกิจที่นักธุรกิจตั้งขึ้น สำหรับให้บริการนักเดินทางในเรื่องของที่พัก รวมถึงอาหาร เครื่องดื่ม และบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพักอาศัยและเดินทาง มีห้องพักหรือห้องนอนหลาย ๆ ห้องสำหรับบริการผู้ที่มาเข้าพัก อยู่ภายในอาคารหนึ่งหรือในหลายอาคาร ซึ่งจะมีบริการต่าง ๆ เพื่อความสะดวกของผู้ที่มาพัก ซึ่งจะเรียกว่า " แขก " ( guest ) ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจเลยที่เวลาท่านเข้าพักในโรงแรม มักจะได้ยินพนักงาน หรือเจ้าหน้าที่โรงแรมพูดถึงท่าน หรือใช้สรรพนามเรียกแทนท่านว่า " แขก " แทนที่จะเป็น " ลูกค้า " เหมือนสถานบริการหรือร้านค้าอย่างอื่น ฟังดูแล้วน่าภูมิใจไปอีกแบบ
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)
